20 ธันวาคม 2020
07 ก.ค. 2023
การประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากเป็นสิ่งที่ทำให้อารมณ์แปรปรวนได้บ่อยครั้ง ดังนั้นการทำความเข้าใจกับทางเลือกการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีความรู้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางการสร้างครอบครัว
คุณอาจสงสัยว่า IUI คืออะไร? Intrauterine Insemination (IUI) หรือการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกเป็นการรักษาที่ช่วยเติมเต็มความฝันของคู่รักหลายคู่ในการกลายเป็นพ่อแม่ ในบทความนี้ เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นฐานของ IUI, ผู้ที่เหมาะสมกับ IUI, กระบวนการของ IUI, อัตราความสำเร็จ, ความเสี่ยง และการเปรียบเทียบกับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
Intrauterine Insemination (IUI) คือการผสมเทียมรูปแบบหนึ่ง โดยเป็นกระบวนการฉีดอสุจิที่ผ่านการปั่นล้างและคัดแยกแล้วเข้าโพรงมดลูกโดยตรงเพื่อเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ จุดประสงค์หลักของ IUI คือการเพิ่มโอกาสที่อสุจิจะไปถึงท่อนำไข่ซึ่งมีไข่รอปฏิสนธิอยู่
IUI เป็นวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่มักถูกนำมาพิจารณาก่อนวิธีอื่น ๆ ที่รุกล้ำร่างกายมากกว่า เช่นการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF). ซึ่งค่าใช้จ่ายของกระบวนการ IUI จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ปัจจัยต่าง ๆ เช่น คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก การใช้ยา และการทดสอบวินิจฉัย แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)
การฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก (IUI) คือการรักษาภาวะมีบุตรยากที่อาศัยการฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง ส่วนมากมักใช้เป็นวิธีเบื้องต้นก่อนที่จะพยายามด้วยวิธีอื่นที่รุกล้ำร่างกายมากกว่า เช่น การปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF)
ขั้นตอนของ IUI ประกอบด้วยการเตรียมความพร้อม การติดตามการตกไข่ การเก็บและเตรียมอสุจิ การดำเนินกระบวนการ IUI การดูแลหลังกระบวนการ IUI และการติดตามผล อัตราความสำเร็จของ IUI นั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วยและปัจจัยอื่น ๆ รวมถึงจำนวนรอบการรักษา คุณภาพของอสุจิ และสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
จุดประสงค์หลักของ IUI คือการเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิและการตั้งครรภ์โดยการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกโดยตรง ระหว่างการรักษาด้วยวิธี IUI จะมีการสแกนเพื่อประเมินจำนวนฟอลลิเคิลและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีจำนวนมากเกินไปหรือไม่
หากจำนวนฟอลลิเคิลมีมากเกินไป ควรหยุดการรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์แฝดหรือทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย
ผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากแบบหาสาเหตุไม่ได้ มีปัญหามูกไข่ตก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งคือผู้ที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธี IUI อย่างไรก็ตาม IUI ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของท่อนำไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีความผิดปกติของอสุจิในระดับรุนแรง
ในบางกรณี ผู้หญิงในวัยสามสิบปลายหรือเกินสี่สิบปีจะถูกแนะนำให้เลือกวิธี IVF แม้ว่า IUI จะเหมาะสมก็ตาม
1. การปรึกษาเบื้องต้น: คุณจะได้ทำการปรึกษาเบื้องต้นกับผู้เชี่ยวชาญที่ Bangkok Central Clinic ซึ่งจะช่วยตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของคุณ ทำการตรวจร่างกาย และพูดคุยเกี่ยวกับความกังวลเรื่องภาวะมีบุตรยากของคุณ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญอาจสั่งตรวจเป็นบางอย่างเพื่อประเมินระดับฮอร์โมนและตรวจสอบภาวะอื่นที่เป็นอยู่ก่อน
2. การชักนำให้ไข่ตก: ในหลายกรณี จะมีการชักนำให้ไข่ตกเพื่อกระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่หลายใบ เป็นการเพิ่มโอกาสสำเร็จของการปฏิสนธิ ซึ่งกระบวนการนี้อาจมีการใช้ยารักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น ฮอร์โมนชนิดกินหรือฉีดเพื่อกระตุ้นการเติบโตของไข่
3. การติดตาม: ระหว่างกระบวนการชักนำให้ไข่ตกจะมีการติดตามผลเป็นประจำ โดยจะเป็นการตรวจเลือดและอัลตราซาวด์ การตรวจเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามการเติบโตของไข่และระบุเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผสมเทียมได้
4. การเก็บตัวอย่างน้ำเชื้อ: ในวันที่จะทำการผสมเทียม ฝ่ายชาย (หรือผู้บริจาคอสุจิ) จะต้องส่งตัวอย่างน้ำเชื้อซึ่งสามารถเก็บได้จากการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยบรรจุน้ำเชื้อลงในถ้วยปลอดเชื้อที่คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก
5. การเตรียมน้ำเชื้อ: ตัวอย่างน้ำเชื้อจะถูกนำไปผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการปั่นล้าง ซึ่งอสุจิจะถูกแยกออกมาจากน้ำอสุจิและนำมาคัดแยก กระบวนการนี้จะช่วยกำจัดสารที่อาจเป็นอันตรายและเพิ่มจำนวนอสุจิที่สามารถเคลื่อนที่ได้
6. กระบวนการผสมเทียม: เมื่อไข่พร้อมสำหรับการปฏิสนธิ กระบวนการ IUI ก็จะเริ่มต้นขึ้น กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเรียบง่ายและไม่เจ็บปวดซึ่งสามารถทำได้ที่คลินิก โดยคุณจะต้องนอนบนเตียงตรวจ แพทย์จะใช้คีมปากเป็ดสอดเข้าไปในอวัยวะเพศเพื่อให้สามารถมองเห็นปากมดลูก ตามด้วยการใช้สายสวนขนาดเล็กสอดผ่านปากมดลูกเข้าไปสู่มดลูก จากนั้นจึงฉีดอสุจิที่เตรียมไว้เข้าสู่มดลูกอย่างระมัดระวังผ่านทางสายสวน
7. การพักฟื้นและการสังเกตอาการ: หลังกระบวนการ คุณจะได้พักฟื้นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะสามารถกลับบ้านได้ ผู้หญิงบางส่วนอาจมีอาการปวดเล็กน้อยหรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยหลังกระบวนการ คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้โดยใช้เวลาไม่นานหลังจบกระบวนการ
8. การติดตามผล: ประมาณสองสัปดาห์หลังจากกระบวนการ IUI คุณจะต้องกลับมาที่คลินิกเพื่อตรวจครรภ์ซึ่งเป็นการยืนยันว่ากระบวนการนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ หากผลเป็นบวก จะมีการนัดหมายต่อไปเพื่อติดตามดูว่าการตั้งครรภ์เป็นไปด้วยดี หากผลเป็นลบ คุณสามารถพูดคุยถึงขั้นตอนต่อไปและทางเลือกการรักษาอื่น ๆ กับผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยากได้
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่ารายละเอียดเฉพาะของกระบวนการ IUI อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล โดยผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยากที่ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก Bangkok Central Clinic จะคอยให้คำแนะนำที่เหมาะสำหรับคุณตลอดกระบวนการ
ก่อนการรักษาด้วยวิธี IUI ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายอย่างครอบคลุม รวมถึงการตรวจภาวะมีบุตรยากที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ป่วยต้องงดแอลกอฮอล์ การแช่น้ำร้อน และซาวน่าก่อนที่จะทำการรักษา และต้องรับประทานอาหารเสริมกรดโฟลิก
ทั้งนี้ อาจจำเป็นต้องมีการปั่นล้างอสุจิเพื่อการันตีว่ามีจำนวนอสุจิสุขภาพดีเพียงพอสำหรับกระบวนการ
การติดตามการตกไข่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกระบวนการ IUI เนื่องจากสามารถช่วยให้แพทย์ระบุวันที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการผสมเทียมได้ ซึ่งการติดตามการเปลี่ยนแปลงของมูกไข่ตก อุณหภูมิกายขณะพัก และการใช้ชุดทดสอบการตกไข่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการคาดการณ์วันไข่ตก
ชุดทดสอบการตกไข่สามารถวัดระดับฮอร์โมนลูทิไนซิง (Luteinizing Hormone: LH) ในปัสสาวะ และเป็นหนึ่งในวิธีที่เชื่อถือได้ที่สุดในการคาดการณ์การตกไข่
กระบวนการเก็บและเตรียมอสุจิ หรือที่เรียกว่า “การปั่นล้าง” (Sperm Washing) เป็นการสกัดเอาอสุจิที่สุขภาพดีออกมาเพื่อใช้ในกระบวนการ IUI นอกจากนี้การปั่นล้างยังช่วยกำจัดสารประกอบในน้ำเชื้อที่อาจกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาในมดลูกและขัดขวางการตั้งครรภ์ได้
กระบวนการนี้เป็นการการันตีว่าจะมีเพียงอสุจิที่สุขภาพดีเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการ IUI
ขั้นตอนของ IUI ประกอบด้วยการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกผ่านทางสายสวน กระบวนการนี้ควรทำในช่วงที่มีการตกไข่เนื่องจากเป็นช่วงที่มีภาวะเจริญพันธุ์สูงสุดในรอบประจำเดือน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสสำเร็จของการตั้งครรภ์
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่เรียบง่าย แทบไม่มีความเจ็บปวด และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
หลังจากการผสมเทียม ผู้ป่วยควรนอนหงายเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นแล้วก็สามารถใส่เสื้อผ้าและกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
มีความเป็นไปได้ที่ผู้ป่วยจะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยในช่วง 1-2 วันหลังจบกระบวนการ ซึ่งการติดตามสัญญาณการตั้งครรภ์และนัดติดตามผลกับแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลหลังกระบวนการ IUI และการติดตามผล
อัตราความสำเร็จของ IUI ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ การใช้ยารักษาภาวะมีบุตรยาก และสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก ผู้หญิงบางส่วนอาจต้องรับการรักษาหลายรอบก่อนที่จะตั้งครรภ์สำเร็จ
ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงอัตราความสำเร็จโดยทั่วไปและปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของ IUI
เมื่อทำควบคู่กับการใช้ยารักษาภาวะมีบุตรยากแล้ว อัตราความสำเร็จของ IUI อาจสูงถึง 20% ต่อรอบ เราแนะนำว่าควรพยายามด้วยวิธี IUI อย่างน้อยสามรอบเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์
อัตราเจริญพันธุ์สำหรับวิธี IUI นั้นเทียบเท่ากับผู้ที่ตั้งครรภ์ด้วยวิธีปกติซึ่งอยู่ที่ประมาณ 20%
มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ IUI ซึ่งได้แก่ อายุ โรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะมีบุตรยาก จังหวะเวลาของการผสมเทียม และจำนวนรอบของการผสมเทียม องค์ประกอบอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของ IUI ได้แก่ ระยะเวลาของภาวะมีบุตรยาก จำนวนอสุจิทั้งหมดที่เคลื่อนที่ได้ และการใช้ยาเพื่อกระตุ้นการตกไข่
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยให้ทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจได้อย่างมีความรู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะดีที่สุดเพื่อการตั้งครรภ์ที่ประสบความสำเร็จ
แม้ IUI จะถือว่าเป็นกระบวนการที่ปลอดภัย แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงและผลข้างเคียง ซึ่งอาจรวมถึงอาการแทรกซ้อนจากยารักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การตั้งครรภ์แฝด หรือมีผลข้างเคียงเล็กน้อยเช่นอาการปวดท้องหรือเลือดออกกะปริบกะปรอย
อาการแทรกซ้อนที่เป็นไปได้ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับ IUI อาจรวมถึงอาการปวดท้อง ท้องอืดหรือบวม คลื่นไส้หรืออาเจียน ปัสสาวะออกน้อยลง หายใจไม่อิ่มหรือหายใจลำบาก มีเลือดออกจากอวัยวะเพศ การอักเสบ การติดเชื้อ หรือฟกช้ำ
นอกจากนี้ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากยารักษาภาวะมีบุตรยากอาจรวมถึงอาการปวดท้องหรือเลือดออกกะปริบกะปรอย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องทราบถึงอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับความกังวลของคุณ
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจาก IUI อาจรวมถึงอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน ภาวะซึมเศร้า คลื่นไส้ ปวดหัว มีความผิดปกติของการมองเห็น รังไข่บวมและเจ็บ ท้องอืด มีของเหลวรั่วไหลสู่ช่องท้อง และภาวะขาดน้ำ
กรณีที่พบได้ไม่บ่อยคืออาการแพ้โปรตีนในน้ำเชื้อซึ่งนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก ซึ่งอาจมีอาการปวด อึดอัดไม่สบายตัว และวิงเวียนร่วมด้วย ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องติดตามและรายงานผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบ
IUI เป็นวิธีที่รุกล้ำร่างกายน้อยกว่าและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น เช่น การปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF) อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่เหมาะสมสำหรับบางคนหรือบางภาวะ
ในส่วนนี้ เราจะเปรียบเทียบ IUI กับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีอื่น ๆ รวมถึงเมื่อไรที่ควรพิจารณาทางเลือกอื่นหาก IUI ไม่ประสบผลสำเร็จ
IUI เป็นวิธีที่ราคาไม่แพงและรุกล้ำร่างกายน้อยกว่า IVF ซึ่งค่าใช้จ่ายของ IUI แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก ประวัติทางการแพทย์ การใช้ยา และการทดสอบวินิจฉัย แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า IVF ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ 350,000 – 700,000 บาทหรือมากกว่าสำหรับการทำรอบแรก
อย่างไรก็ตาม IVF เป็นวิธีที่ได้รับการแนะนำมากกว่าสำหรับผู้หญิงที่อายุเกิน 40 ปี นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ยังแนะนำว่าควรรักษาด้วยวิธี IUI สามรอบก่อนที่จะเลือกการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น IVF
ทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก IUI อาจถูกนำมาพิจารณาหาก IUI ไม่ประสบผลสำเร็จหลังจากพยายามแล้วหลายรอบหรือมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้โอกาสสำเร็จของ IUI ลดลง หากผู้ป่วยไม่เหมาะกับวิธี IUI ด้วยอายุหรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยาก บุคลากรทางการแพทย์อาจเสนอวิธี IVF แทน IUI
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ของคุณกับบุคลากรทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้คุณพบวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ได้
ในบทความนี้ เราได้กล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานของการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก (IUI) จุดประสงค์ ผู้ที่เหมาะสม กระบวนการ อัตราความสำเร็จ ความเสี่ยง และการเปรียบเทียบกับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีอื่น ๆ ซึ่งการทำความเข้าใจแง่มุมทั้งหลายของ IUI จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางการสร้างครอบครัวได้อย่างมีความรู้
หากคุณกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับภาวะมีบุตรยากและกำลังพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ ในการรักษาภาวะมีบุตรยาก คุณสามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ที่ Bangkok Central Clinic ได้เลยตั้งแต่วันนี้
อย่าลืมว่าเส้นทางสู่การเป็นพ่อแม่อาจมีอุปสรรคและความท้าทาย แต่ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและการสนับสนุนที่ดี การเติมเต็มความฝันของคุณย่อมเป็นไปได้เสมอ
IUI และ IVF ต่างก็เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักที่ประสบปัญหาในการตั้งครรภ์ IUI อาศัยการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูกโดยตรง แต่สำหรับ IVF ไข่และอสุจิจะถูกผสมในห้องปฏิบัติการ จากนั้นจึงย้ายเข้าโพรงมดลูก
ท้ายที่สุดแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล
โดยเฉลี่ยแล้ว คู่รักที่เลือกวิธีฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก (IUI) ใช้เวลาสองถึงสามรอบจึงจะตั้งครรภ์ แม้กระบวนการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว IUI เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและราคาไม่แพงสำหรับผู้ที่ต้องการจะตั้งครรภ์
โดยทั่วไป กระบวนการ IUI นั้นไม่เจ็บและผู้หญิงส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวน้อยมากระหว่างกระบวนการ การฉีดอสุจิผ่านทางปากมดลูกอาจทำให้รู้สึกปวดบีบเล็กน้อย แต่อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นจากกระบวนการมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดหรือยาระงับความรู้สึก