20 ธันวาคม 2020
21 ธ.ค. 2021
เด็กหลอดแก้วหรือ IVF หลายคนเคยได้ยินกับคำนี้มาบ้างแล้ว ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาภาวะมีบุตรยาก อาจจะเป็นปัจจัยที่เกิดจากพันธุกรรม โรคประจำตัวต่างๆ หรือปัจจัยอื่น ที่ทำให้ไม่สามารถมีบุตรได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ได้มีกระบวนการเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจไว้ สำหรับผู้ที่อยากมีลูก แต่ไม่สามารถมีลูกได้ด้วยตนเอง การทำเด็กหลอดแก้วก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
หลายคนอาจสงสัยวิธีการทำเป็นอย่างไร ซึ่งการทำเด็กหลอดแก้ว IVF (In-Vitro Fertilization) จะเป็นวิธีการที่คัดเลือกเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายหญิงเรียกว่าไข่ นำมาผสมกับเซลล์สืบพันธุ์ของฝ่ายชายเรียกว่าอสุจิ ในอุปกรณ์ทดลองทางการแพทย์ เมื่อตัวอ่อนเติบโตได้ระยะ 5 วัน หรือในระยะ บลาสโตซีสท์ แพทย์ก็จะย้ายตัวอ่อนใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตและฝังตัวต่อไป ซึ่งในการเตรียมตัวอ่อนนี้ อาจจะยังมีตัวอ่อนที่เหลือและแข็งแรง ยังสามารถทำการแช่แข็งและเก็บไว้ใช้ในรอบการรักษาต่อไป
1. มีโอกาสสำเร็จมากที่สุดในปัจจุบัน
เพราะการทำ IVF นั้นเป็นการการคัดเลือกไข่จากฝ่ายหญิงนำออกมาผสมกับอสุจิจากฝ่ายชายและรอให้ตัวอ่อนเติบโตอย่างแน่นอน แล้วจึงนำใส่กลับเข้าไปที่โพรงมดลูก แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอหลังจากทำขั้นตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นงดการออกกำลังกายหนัก งดยกของหนัก งดรับประทานอาหารที่อาจทำให้เกิดการท้องเสียได้ และควรทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายเพราะเนื่องจากมีผลกระทบต่อฮอร์โมน
2. ผู้หญิงที่ทำหมันแล้วก็สามารถทำได้
ถ้าหากฝ่ายหญิงท่านใดเคยผ่านการทำหมันมาแล้ว ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหมันผูก หรือหมันตัด สามารถทำ IVF ได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องแก้หมันก่อน เพราะเนื่องจากการรักษาแบบนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการลดลงของโอกาสการสำเร็จ เพราะไม่ได้อาศัยท่อนำไข่หรือในบริเวณที่ได้เคยทำหมันไว้แล้ว
3. ไม่มีการผ่าตัด
ขั้นตอนการทำ IVF นั้น ไม่มีการผ่าตัดเข้ามาให้เป็นที่กังวลใจ เพราะขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วนั้นเริ่มจาก การกระตุ้นไข่ ตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน ทำอัลตร้าซาวด์ และจะมีการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ หลังจากนั้นจะมีการเก็บไข่โดยใช้เข็มดูดผ่านทางช่องคลอด แพทย์จะใช้ยาระงับความรู้สึกระยะสั้นเพื่อป้องกันความเจ็บปวดระหว่างเวลาการเก็บไข่ และในขณะเดียวกันจากทางฝ่ายชายจะต้องเก็บอสุจิใส่ภาชนะที่แพทย์ได้เตรียมไว้ให้ เพื่อที่จะนำมาคัดเลือกอสุจิที่มีความสมบูรณ์ที่สุด และนำมาผสมกับไข่ในห้องทดลอง หลังจากนั้นเมื่อเกิดการปฎิสนธิไข่กับอสุจิจนเป็นตัวอ่อนแล้ว จะเจริญเติบโตหลังจากใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน จึงจะทำการย้ายตัวอ่อนกลับเข้าโพรงมดลูกโดยการใส่เครื่องมือทางช่องคลอด ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการตรวจภายใน ขั้นตอนนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาระงับปวด และหลังจากนี้ก็ควรดูแลรักษาตัวเองให้ดีตามแพทย์สั่ง
4. สามารถตรวจโครโมโซมตัวอ่อนได้ (NGS)
การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเป็นเทคโนโลยีที่สามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมได้ลึกถึงระดับเบส ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เล็กที่สุดในโครโมโซม จะสามารถช่วยลดปัญหากรณีตัวอ่อนไม่ฝังตัว การตั้งครรภ์ที่โครโมโซมมีความผิดปกติ หรือการแท้งในช่วงสามเดือนแรก มีความแม่นยำสูงเพราะสามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมได้ครอบคลุมทั้ง 24 โครโมโซมภายในครั้งเดียว เมื่อเทียบกับเทคนิกอื่นๆแล้ว จึงมีอัตราการเกิดความผิดพลาดได้ต่ำที่สุด
เมื่อเราเห็นถึงข้อดีของIVFแล้ว ลองมาดูอีกด้านของการรักษาแบบนี้กันบ้างว่ามีความเสี่ยงหรือข้อควรระวังอย่างไร
1. มีค่าใช้จ่ายสูง
แน่นอนว่าการรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นราคาที่คุ้มสำหรับครอบครัวที่มีภาวะมีบุตรยากและมีความประสงค์ที่ต้องการมีบุตรเป็นของตนเอง เนื่องจากการทำ IVF นั้นจะมีขั้นตอนที่ค่อนข้างมาก รวมถึงตัวยาที่ต้องใช้ เช่นการกระตุ้นไข่ การป้องกันไข่สุก การเร่งไข่ให้สุก ค่าเก็บเชื้อ เก็บไข่ รวมไปถึงค่าทำอัลตร้าซาวน์
2. ใช้เวลารักษานาน
หลังจากพบแพทย์เพื่อปรึกษาวางแผนการตั้งครรภ์แล้วจะต้องมีการเตรียมตัวจากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ซึ่งกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วอาจจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 4-6 สัปดาห์ โดยระยะเวลาหลังจากที่ได้ทำการย้ายตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูกแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ทางแพทย์จะนัดเข้ามาทดสอบการตั้งครรภ์อีกที
3. ภาวะแทรกซ้อนบางประการ
ถึงแม้ว่าอาการแทรกซ้อนอย่างรุนแรงจากการเก็บเซลล์ไข่มีได้น้อย แต่อาจจะมีผลค้างเคียงบ้างเช่นตกขาว ปวดท้องน้อย ท้องบวม หากอาการไม่หายไปเองหรือมีอาการท้องอืด รู้สึกอึดอัด อาการดังนี้เป็นอาการเบื้องต้นของรังไข่ที่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ควรพบแพทย์อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้การดูแลตนเองให้ดีทั้งก่อน ระหว่างและหลังรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้เกิดการสำเร็จได้ โดยเน้นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกายหักโหม ทำจิตใจให้สบายไม่วิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป การรับประทานยาควรปฎิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญหากเกิดอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ